วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หอยกาบกับวิถีคนชายคลอง

วันนี้..ไม่ได้พูดหยาบ เพียงพูดถึง หอยกาบที่มีอยู่ทั่วไปตามคลองและแม่น้ำ เมื่อสมัยก่อนๆ ที่ต้องย้ำว่า สมัยก่อนๆ เพราะว่า ทุกวันนี้ คุณจะหาหอยกาบได้ยากมาก หอยกาบ เป็นหอยน้ำจืดมีขนาดออกจะเขื่องกว่าหอยลาย แต่เล็กกว่าหอยแมงภู่ หอยกาบนั้น ดูจะไม่คุ้มค่ากับการนำมาทำอาหารสักเท่าไร ถ้ามีปลาหรืออาหารอย่างอื่นที่ง่ายกว่า เพราะหอยกาบมีเนื้อน้อย ถามว่ารสชาดเป็นอย่างไร หอยกาบก็หอม อร่อยกว่าหอยแมงภู่แน่นอน สมัยที่แม่น้ำลำคลองยังสะอาด เด็กๆ ลงเล่นน้ำไม่เสียเปล่า หาเก็บหอยกาบที่ฝังในทราย (โผล่มานิดนึง) ตามทรายหรือเลนแม่น้ำ หรือ เลนในคลอง เอามาต้มแล้วแยกเอาเนื้อไปตากแห้ง เก็บไว้ผัดใส่ผักยี่หร่า หรือ ช้าพลูกินกับข้าวอร่อยดี เป็นที่ชื่นชอบหรืออาหารโปรดของเด็กๆ ถ้าปีไหน น้ำดีก็มีหอยกาบมาก จึงพบทั้งในหนองน้ำกลางทุ่ง ท่าน้ำริมแม่น้ำและลำคลอง แต่พอเหนือแม่น้ำมีคนอยู่อาศัยมากขึ้น หอยกาบก็ค่อยๆหายไป จนในที่สุดแม่น้ำวังทองที่รับน้ำจากลำน้ำเข็กน้อย เข็กใหญ่จากเทือกเขาเพชรบูรณ์สะอาดไม่พอเสียแล้ว หอยกาบจึงสูญพันธุ์ไปจากแม่น้ำสายนี้ รวมไปถึงลำคลอง หนองบึงในทุ่งนา ก็ไม่มีหอยกาบอีกเลย เหมือนๆกับ ทุ่งนาที่ไม่มีอีกแล้วสำหรับ หอยโข่ง เพราะถูกหอยเชอรี่เบียดออก และยังถูกซ้ำเติมด้วยยาฆ่าแมลงเข้าไปด้วย 
หอยกาบ..สูญไปจากท้องทุ่งและวิถีชีวิตคนชายคลอง เหมือนๆกับหอยโข่ง หอยขวาน ไปอ่านบทความหนึ่งจึงได้ทราบว่า หอยกาบเป็นตัวชี้วัดคุณภาพน้ำได้เป็นอย่างดี มิน่าเล่า มันถึงสูญพันธุ์ไปจากวิถีชนบท ไม่ใช่ว่าเขาเอาไปทำ Indicator หรอก แต่เพราะคุณภาพของน้ำไม่ดีพอสำหรับมัน 

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สูญหายไปพร้อมกับวิถีชีวิตชนบท

ในวิถิชีวิตชนบทก่อนนั้น เราไม่ได้มีอะไรมาครอบงำหรือบงการ อยากจะไปหาใคร ถ้าจะเดินสักชั่วโมงก็ยังทำ จะรอใครสักครึ่งวัน คนรักไม่มาเช้า ก็คงมาหาตอนเย็น อยากคุยกับบ้านไหน ถ้าตะโกนแล้วรู้เรื่องกัน ก็ทำ อยากกินผัก..ก็เก็บตามริมรั้ว เนินปลวกหรือป่าละเมาะก็พอกิน ส่วนพริก มะเขือ ข่า ตะไคร้ เอาจากบ้านไหนก็ได้ ไม่อับจน เย็นลงก็พากันนั่งตามลานตากข้าวหรือแคร่ ใครผ่านไปผ่านมาก็แวะพักได้สนทนากัน ใครมีเรื่องจะไหว้วานอะไร ก็มากันเวลานี้แหล่ะ
สมัยก่อนพอหมดฤดูทำนา เดือนยี่ สาม สี่ก็หาปลาตามบึงตามหนองสำรองไว้ เดือนห้าหน้าแล้งก็ตระเตรียมหาทรายเข้าวัด ช่วยบูรณะวัดวาอาราม ซึ่งได้ทั้งบุญและได้ใกล้ชิดสาวที่หมายปอง สงกรานต์บ้านนาจึงคึกคัก ทั้งมอญซ่อนผ้า และลูกช่วง กับก่อพระเจดีย์ทราย บ่ายหลังสงกรานต์ก็เริ่มฝนแรก ก็เตรียมไถนาดะรอฝนใหญ่จึงจะไถแปร วิถีชีวิตตื่นเช้ามืด แว่วเสียงกระดึงคอวัวและควายก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ความทรงจำดีๆ หรือรำลึกถึงความหลัง! แก่ตัวลงมั้ง! ตามแต่จะเรียก ยามจะหวนรำลึก ให้รู้สึกเสียดาย แม้เราเอง มันก็นานพอควร โดยเฉพาะ เมื่อตัวเราเองก็ตกอยู่ในห้วงของสังคมปัจจุบันมาหลายสิบปี หลายหลากสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสักนิดของคนในอดีต แต่ทุกวันนี้กลับเป็นสิ่งสำคัญอย่างขาดไม่ได้ ดูง่ายๆ แค่โทรศัพท์มือถือ ลืมไว้ที่บ้านสักวันเป็นไม่ได้เลย ทั้งๆที่ บางวันก็ไม่ได้โทรหาใครหรือรับสายใครเลย ความจะใช้มันแทรกซึมเข้าไปสู่เบื้องลึกของจิตใจ เปลี่ยนเราไปหมดทั้งพฤติกรรมและหัวใจของเรา แค่โทรไปหาใครสักคน แต่ปล่อยในรอสายสัก 2 ตื้ด (โดยเฉพาะภรรยา) ให้อารมย์เสียขึ้นมาเลย จนบ่อยครั้งต้องถามใจตัวเองเมื่อรู้สึกเช่นนั้นว่า "มันสำคัญนักหรือ" ก็พอบรรเทาลงได้

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ฝนเดือนห้า

ปีนี้..2554 มีฝนมาเร็วกว่าทุกๆ ปี จริงหรือ
    ถ้าตอบในฐานะคนรุ่นเก่าๆ ก็คงจะบอกว่า เมื่อตอนเรายังเป็นเด็ก หรือแม้กระทั่งโตแล้วก็ตาม หลังสงกรานต์จะมีฝนตกลงมาเสมอๆ เรียกว่า ฝนเดือนห้า จากนั้นก็จะห่างไปสักเดือนจึงจะมีฝนใหญ่อีกครั้ง เป็นพายุฝนฟ้าคะนอง พัดเอาดอกจาน (ทอง, ทองกวาว) ดอกอินทนิลพร้อมกับกิ่งไม้เกลื่อนทุ่ง แต่ที่แย่หน่อยก็คือ ลูกนกที่พัดตกจากรัง หรือ กิ่งไม้ที่มันทำรังนั้นหักโค่นลงมา ตัวไหนที่เก็บเอามาเลี้ยงรอดก็ดีไป ชาวบ้านก็พลอยได้เก็บหอย กับ หาขอเกี่ยวกบออกจากรูกัน
    ปีนี้..ก็เช่นกัน ฝนตกช่วงหลังสงกรานต์ ถ้าไม่นับพายุฝนฟ้าที่ทำเอาท่วมภาคใต้ (จริงแล้ว ภาคใต้ก็จะท่วมช่วงนี้เช่นกันในทุกๆปี แต่ปีนี้สาหัสกว่า ตรงที่มีดินถล่มเพราะต้นไม้ธรรมชาติ..มันหายไปจากป่า) นกในป่าคอนกรีตของผม มันก็มาอาศัยรังเดิมของมันเมื่อปีที่แล้ว ที่ผมเอากระเช้าของขวัญมาห้อยไว้ใต้กันสาดชั้น 4 เผื่อว่าจะได้เป็นร่มอาศัยให้กับนกบ้าง และก็เป็นจริง ปีที่แล้ว นกประหลอดทุ่งคู่หนึ่ง ก็มาช่วยกันหาเศษกิ่งไม้ใบหญ้ามาทำรัง ปีที่แล้วออกไข่ 3 ใบ ได้ลูก 2 ตัว ที่เมื่อแข็งแรง แล้วก็ บินหายไปไม่กลับมาทั้งแม่ พ่อและลูก แต่ปีนี้ ช่วงเวลาเดียวกัน นกผัวเมียคู่นี้ก็กลับมาอีกครั้ง มีไข่เพียง 2 ใบ หายไป 1 ใบ จึงได้ลูกเพียง 1 ตัว นี่ก็ใกล้จะบินออกจากรังได้แล้ว
    ปีนี้กับปีก่อน และ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ฝนตกต้องตามกัน ฝนกำลังปรับเวลาเข้าวงรอบเหมือนๆกับ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เท่านั้นเอง 

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิถีชนบทกับการเปลี่ยนแปลง

   วิถีชนบท ที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ..หรือ จำเป็นต้องรับมัน ในอดีต เมื่อกลับบ้าน เราอาศัยทางเกวียนสำหรับการเดินหรือขี่จักรยาน ทางเกวียนก็เป็นลู่วิ่งของเรา ตอนที่เราพยายามจะพัฒนาร่างกายเพื่อสอบเข้าเตรียมทหาร วัน เวลาผ่านไปและไม่หวนคืน เรากลับไปบ้าน แรกเริ่มทางเกวียนก็ค่อยๆหายไป เพราะมีรถไถมือเข้ามาแทนและวิ่งไม่ประจำทางเหมือนก่อน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีทางบ้างในตอนใกล้หมู่บ้าน ต่อมาทางวิ่งก็ไม่มี เพราะทำนากันปีละ 2 ครั้ง ทุ่งนา ที่มีตอซังข้าวก็ไม่มี หนองน้ำก็พลอยหายไปด้วย พืชผักตามบึงตามหนอง พวก อีไล อีเลิศ เลยไม่มีไปด้วย วิถีชีวิตที่เคยมีที่หาปลา หาผักก็เปลี่ยนไป อาศัยก็แต่บึงใหญ่ ที่วิถียังคงเดิม ชาวนาเอง เมื่อก่อนยังปลูกผัก ปลูกมันไว้กินยามหนาวมา มันปิ้งตอนเช้าตรู่ก็คงไม่มีให้เห็นอีกแล้ว วิถีของการพึ่งพาตนเองลดหายไปอย่างน่าตกใจ วิถีชีวิตการปลูกพืชสวนครัว เปลี่ยนเป็น ซื้อจากตลาด ซึ่งก็คือ ใช้เงินซื้อ ซื้อไปแทบทุกอย่าง ชาวนาในวันนี้ ไม่สามารถยืนหรือมีความพอเพียงได้ ในอดีตชาวนา อาจไม่ต้องมีเงินเลย แต่มีข้าว มีปลา มีผักและพริกที่พอเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้สบายๆ ทุกวันนี้ ถ้าชาวนาไม่มีเงิน อาจจะอยู่ได้ไม่กี่วัน