สำหรับนาดำนั้น ก็ต้องรอตากดินจนกว่าฤดูทำนาจะมาถึงจริงๆ แต่จะต้องปลูกกล้าข้าวไว้ใช้ดำนา เริ่มจากการกักน้ำไว้ในแปลงนาที่จะทำแปลงกล้าข้าว โดยไถดินและไถซ้ำ (ไถสอด) หลังจากนั้นจึงคราดเอาหญ้าออก แล้วจึงจะปรับพื้นที่ด้วยขลุบ จะได้ยินเสียงขลุบตีน้ำและดินดังแต่ไกล[เทือกนา] ช่วงนี้เด็กๆ มักจะเดินตามผู้ใหญ่ไปด้วย คอยจับปลาและกบที่กำลังงง เมื่อแล้วเสร็จทิ้งไว้บ่ายๆก็หว่านข้าวกล้าได้ที่ได้เตรียมพันธุ์ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนที่จะเอามาหว่านก็จะต้องนำข้าวพันธุ์ใส่กระสอบแช่น้ำไว้สัก ๑ คืนก่อนจึงเอามาหว่านได้ หลังจากหว่านแล้วให้ทิ้งไว้ ๑ คืน ก็ต้องไขน้ำออกจากแปลงข้าวกล้า ช่วงนี้ก็ต้องระวังพวกนกพวกหนูไม่มากวน หลังจากนั้นอีก ๑๐-๑๕ วันจึงจะไขน้ำเข้ามาในแปลงกล้าข้าวได้ กล้าข้าวที่จะนำไปปลูกได้ ควรจะมีอายุไม่น้อยกว่า ๒๕ วัน
ช่วงระหว่างรอฤดูฝนที่จะมาจริง ชาวนาจะต้องทำการซ่อมคันนาอุดรอยรั่วที่เกิดจากหนูและปูให้เรียบร้อยหรืออาจจำเป็นต้องเสริมคันนาให้สูงขึ้น ถ้าเป็นคันนาสูงๆ ก็ต้องใช้พลั่วยาวและมีที่เหยียบสำหรับเวลาแทงดิน แต่ถ้าเป็นคันนาเตี้ยๆก็นิยมใช้จอบและเสียมก็เพียงพอ สำคัญอยู่ที่การเรียงดินที่เสริมขึ้นมา ต้องเรียงให้เป็นระเบียบและห้ามคนขึ้นไปเดิน บางรายก็ใช้หนามคลุมไว้ก็มี นอกจากนั้นชาวนาต้องใช้เวลาช่วงนี้ออกหาเสบียงไว้สำหรับฤดูทำนา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง ชาวนาจะไม่มีเวลาไปหาปูหาปลาหรือแม้กระทั่งขึ้นไปเก็บหน่อไม้บนเขา
ช่วงเวลานี้เช่นกัน ที่เป็นช่วงเวลาของการขุนวัวควายให้อ้วนพี ด้วยหญ้าระบัดที่งอกงามจากน้ำฝนตามคันนาที่ถูกเผาไปเมื่อหน้าแล้ง และหญ้ากลางนาที่งอกงามจากเบี้ยที่หลงเหลืออยู่จากหน้าแล้ง ประกอบกับน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ หน้านี้จึงเห็นปลักควายอยู่ทั่วไปตามท้องทุ่ง
วิถีชนบท กล่าวถึง วิถีชิวิตของชาวชนบทไทยในยุคเกษตรกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์และแนวคิดในวิถีชีวิตของคนไทยในภาคชนบท ซึ่งอนุญาตให้ผู้ที่ประสงค์จะแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้สาธารณชนทั่วไป สามารถโพสต์ข้อความในบล็อกนี้ได้โดยตรง ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการลงบทความต้องส่ง Gmail ให้เราเพื่อลงข้อมูลเป็น ผู้ใช้งานร่วมก่อน สำหรับบทเพลงในที่นี้ มีเพื่อแสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งที่มีต่อวิถีชนบท ไม่มีในเชิงการค้าใดๆทั้งสิ้น
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550
วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550
วิถีชนบทไทย (๑)
ฝนแรกในสมัยก่อนนั้น แรงมากๆ ฝนแรกจะมาทั้งลมพายุและลมฝน ถ้ามาตอนหัวค่ำจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีแดง ตอนเช้าหลังจากพายุผ่านไปนั้น ตามท้องทุ่งนาจะพบเห็นต้นไม้หักโค่นลงมาพร้อมกับลูกนกหรือรังนกที่ไข่แตกกระจาย ลูกนกบางรายก็ตาย ที่โชคดีหน่อยก็มีคนเก็บมาเลี้ยง นกในสมัยนั้นยังมีมากมาย นับชนิดไม่ถ้วน ถ้าไม่ใช่หน้าฝน ในตอนเย็นจนถึงพลบค่ำ จะมีฝูงนกบินเป็นฝูง พวกใครพวกมัน คลาคล่ำส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วท้องฟ้า ถ้าใครสังเกตให้ดี ก็จะพบว่ามันไม่ได้บินโดยไม่มีระเบียบ นกจะบินโดยมีผู้นำเสมอและเป็นรูปตัววีในภาษาอังกฤษ จะมีก็แต่นกนางแอ่นเท่านั้นที่บินวนจนไม่รู้ว่ารูปอะไร แต่มันก็บินจากเขาไปทางบึงและด้านตะวันออกไปด้านตะวันตกเสมอ ความที่มากจนเด็กหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ต้องมานั่งยิงหนังสะติ้ก เสียลูกกระสุนเป็นร้อยๆโดยไม่ได้นกแม้แต่ตัวเดียว แต่ก็ยิงอยู่ได้ทุกวัน
ฝนแรกนั้นมีคุณอนันต์จริงๆ บ่งบอกถึงฤดูทำนาและยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์ตามมา ไม่ว่าจะเป็นผักบุ้งหรือผักอื่นๆที่หลงเหลือเพียงเบี้ย เมื่อได้น้ำฝนก็แข่งกันผลิยอดแตกกอ อาหารการกินสมัยนั้น ไม่ต้องซื้อหา เพียงเดินริมรั้วหรือชายทุ่งก็มีเหลือเฝือ
ก่อนฝนแรกจะมานั้น จะมีฝนนำมาก่อนพอให้เบี้ยผักและกอหญ้าที่ถูกไฟเผาได้ชุ่มชื้น ผักก็แตกยอดหญ้าก็ระบัดใบ ไม้ไผ่ในป่าข้างบ้านและหัวไรปลายนาก็แทงหน่อ สมัยนั้น หน่อไผ่มีมากเสียจนเก็บกันไม่ทัน ปล่อยให้หน่อสูง พอได้มีโอกาสเป็นต้นใหม่ ชาวนาจึงมักจะเลือกเฉพาะหน่อไผ่บง ที่หักหน่อยาวสักศอกเศษๆ เอามาเผาไฟให้พอสุกหอม เสร็จแล้วก็เอาไม้ไผ่มากรีดให้เป็นเส้น ๆ แต่ก็ไม่ได้เอามาผัดไข่เหมือนเช่นสมัยนี้ เพราะสมัยก่อน ไข่มีไว้สำหรับเพาะลูกไก่หรือสำหรับเด็กเล็กหรือผู้ป่วยพักฟื้นเท่านั้น
จริงๆแล้ว บนเขาจะมีฝนก่อนพื้นราบ ชาวนาจะไปเก็บหน่อไม้บนเขามาดองเก็บไว้เป็นเสบียงสำหรับฤดูการทำนา แต่ถ้าเป็นหน่อไม้คายเขาจะเผาแล้วจับเป็นมัดๆ เก็บไว้ต้มจิ้มน้ำพริกอร่อยดี เพราะว่าจะมีรสหวานอมเปรี้ยวซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไผ่ชนิดนี้
ในทุ่งนาหลังฝนใหม่ อายดินกลิ่นหอมบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของท้องทุ่ง ขอให้มีน้ำก็เพียงพอแล้ว หญ้าที่ผ่านการถูกเผาด้วยไฟในหน้าแล้ง จะแทงยอดมาเป็นอาหารชั้นดีให้กับคนและวัวควาย ใช่! คนและวัวควายกินอาหารชนิดเดียวกันนั่นเลย ในทุ่งนาตามแนวคันนาและแนวป่า ผักตำลึง ผักกระโดนน้ำกระโดนดิน จิกนาและเม็ก ถ้าโชคดีหน่อยไปก่อนคนอื่นๆ ก็จะได้ผักหวานป่ายอดเปราะไว้ทำแกงผักหวาน ก็ผักหวานนั้นอยู่ตรงไหน ใครๆก็รู้ แต่ถ้าเข้าไปในป่าละเมาะรอบๆนา หน้าเห็ดเผาะ ก็ไล่เก็บไปตามรอบๆพุ่มไม้ตับเต่า เพราะเห็ดเผาะชอบขึ้นในป่าเบญจพรรณ ที่มากด้วยพลวง พะยอม แดงและประดู่ ส่วนเต็งนั้นมักจะเป็นต้นใหญ่ๆและป่าค่อนข้างทึบน่ากลัว ป่าก็ยังเป็นป่า แม้แต่ป่าข้างรั้วบ้านก็ตามที มอสเกาะต้นไม้ใหญ่จนเป็นสีเขียวทั้งต้น กล้วยไม้ป่านานาชนิดยังเกาะต้นไม้ กระแตไต่ไม้และพืชชั้นต่ำยังมีให้เห็น ความอุดมสมบูรณ์ของป่านั้น แม้แต่ป่าข้างบ้าน สัตว์ป่า กระรอก กระแต อีเห็น เสือปลา พังพอนและนิ่ม ส่วนงูนั้น ให้ระวังพวกงูเหลือมงูหลาม ตัวขนาดโคนขาผู้ใหญ่ เข้าป่าใกล้บ้านจึงต้องมีมีดซุยหรือมีดเดินป่าที่คมกริบขนาดโกนขนหน้าแข็งให้ราบเรียบได้อย่างสบาย เขาจึงมักหวงกันนักหนาไม่ใคร่ให้ใครยืมหรือจับคมมีด และห้ามปักมีดบนดิน หน้าแล้งบางปีก็พบหมูป่าและเลียงผาที่ถูกเสือต้อนหนีเตลิดลงจากเขามาให้หมาไล่ก็มี
ฝนแรกนั้น สำหรับนาบึงหรือนาตามชายขอบบึงจะมีน้ำขัง ชาวนาจะต้องรีบไถดะและไถแปรและรีบหว่านข้าวทำนาหว่าน เมื่อน้ำมา ต้นข้าวจะได้ตั้งตัวและยืดหนีน้ำได้ทัน ลำพังน้ำท่วม ถ้าข้าวยืดหนีน้ำได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ก็แสดงว่า ปีนั้นนาหว่านจะได้ผลดี
ฝนแรกนั้นมีคุณอนันต์จริงๆ บ่งบอกถึงฤดูทำนาและยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์ตามมา ไม่ว่าจะเป็นผักบุ้งหรือผักอื่นๆที่หลงเหลือเพียงเบี้ย เมื่อได้น้ำฝนก็แข่งกันผลิยอดแตกกอ อาหารการกินสมัยนั้น ไม่ต้องซื้อหา เพียงเดินริมรั้วหรือชายทุ่งก็มีเหลือเฝือ
ก่อนฝนแรกจะมานั้น จะมีฝนนำมาก่อนพอให้เบี้ยผักและกอหญ้าที่ถูกไฟเผาได้ชุ่มชื้น ผักก็แตกยอดหญ้าก็ระบัดใบ ไม้ไผ่ในป่าข้างบ้านและหัวไรปลายนาก็แทงหน่อ สมัยนั้น หน่อไผ่มีมากเสียจนเก็บกันไม่ทัน ปล่อยให้หน่อสูง พอได้มีโอกาสเป็นต้นใหม่ ชาวนาจึงมักจะเลือกเฉพาะหน่อไผ่บง ที่หักหน่อยาวสักศอกเศษๆ เอามาเผาไฟให้พอสุกหอม เสร็จแล้วก็เอาไม้ไผ่มากรีดให้เป็นเส้น ๆ แต่ก็ไม่ได้เอามาผัดไข่เหมือนเช่นสมัยนี้ เพราะสมัยก่อน ไข่มีไว้สำหรับเพาะลูกไก่หรือสำหรับเด็กเล็กหรือผู้ป่วยพักฟื้นเท่านั้น
จริงๆแล้ว บนเขาจะมีฝนก่อนพื้นราบ ชาวนาจะไปเก็บหน่อไม้บนเขามาดองเก็บไว้เป็นเสบียงสำหรับฤดูการทำนา แต่ถ้าเป็นหน่อไม้คายเขาจะเผาแล้วจับเป็นมัดๆ เก็บไว้ต้มจิ้มน้ำพริกอร่อยดี เพราะว่าจะมีรสหวานอมเปรี้ยวซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไผ่ชนิดนี้
ในทุ่งนาหลังฝนใหม่ อายดินกลิ่นหอมบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของท้องทุ่ง ขอให้มีน้ำก็เพียงพอแล้ว หญ้าที่ผ่านการถูกเผาด้วยไฟในหน้าแล้ง จะแทงยอดมาเป็นอาหารชั้นดีให้กับคนและวัวควาย ใช่! คนและวัวควายกินอาหารชนิดเดียวกันนั่นเลย ในทุ่งนาตามแนวคันนาและแนวป่า ผักตำลึง ผักกระโดนน้ำกระโดนดิน จิกนาและเม็ก ถ้าโชคดีหน่อยไปก่อนคนอื่นๆ ก็จะได้ผักหวานป่ายอดเปราะไว้ทำแกงผักหวาน ก็ผักหวานนั้นอยู่ตรงไหน ใครๆก็รู้ แต่ถ้าเข้าไปในป่าละเมาะรอบๆนา หน้าเห็ดเผาะ ก็ไล่เก็บไปตามรอบๆพุ่มไม้ตับเต่า เพราะเห็ดเผาะชอบขึ้นในป่าเบญจพรรณ ที่มากด้วยพลวง พะยอม แดงและประดู่ ส่วนเต็งนั้นมักจะเป็นต้นใหญ่ๆและป่าค่อนข้างทึบน่ากลัว ป่าก็ยังเป็นป่า แม้แต่ป่าข้างรั้วบ้านก็ตามที มอสเกาะต้นไม้ใหญ่จนเป็นสีเขียวทั้งต้น กล้วยไม้ป่านานาชนิดยังเกาะต้นไม้ กระแตไต่ไม้และพืชชั้นต่ำยังมีให้เห็น ความอุดมสมบูรณ์ของป่านั้น แม้แต่ป่าข้างบ้าน สัตว์ป่า กระรอก กระแต อีเห็น เสือปลา พังพอนและนิ่ม ส่วนงูนั้น ให้ระวังพวกงูเหลือมงูหลาม ตัวขนาดโคนขาผู้ใหญ่ เข้าป่าใกล้บ้านจึงต้องมีมีดซุยหรือมีดเดินป่าที่คมกริบขนาดโกนขนหน้าแข็งให้ราบเรียบได้อย่างสบาย เขาจึงมักหวงกันนักหนาไม่ใคร่ให้ใครยืมหรือจับคมมีด และห้ามปักมีดบนดิน หน้าแล้งบางปีก็พบหมูป่าและเลียงผาที่ถูกเสือต้อนหนีเตลิดลงจากเขามาให้หมาไล่ก็มี
ฝนแรกนั้น สำหรับนาบึงหรือนาตามชายขอบบึงจะมีน้ำขัง ชาวนาจะต้องรีบไถดะและไถแปรและรีบหว่านข้าวทำนาหว่าน เมื่อน้ำมา ต้นข้าวจะได้ตั้งตัวและยืดหนีน้ำได้ทัน ลำพังน้ำท่วม ถ้าข้าวยืดหนีน้ำได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ก็แสดงว่า ปีนั้นนาหว่านจะได้ผลดี
วิถีชนบท ชาวนาไทย
วิถีชีวิตชนบทชาวนาไทย ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘- ๒๕๒๓ [อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก]
ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ การเกษตรกรรมยังคงเป็นแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง ยังไม่มีเครื่องจักรกลผ่อนแรงหรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกใดๆในภาคเกษตรกรรม เว้นก็แต่ รถไถนาขนาดใหญ่ที่จะพบเห็นบ้างในห้วงปลายๆ ของช่วงนี้ ซึ่งนับได้ว่าในห้วงปลายนี้ เป็นห้วงของการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมไปสู่สังคมเกษตรกรรมยุคใหม่ ที่อาศัยเครื่องจักรกลทุ่นแรงมาแทนที่ และได้เข้าสู่ยุคเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์ที่เป็น Mass Productivity
เดือนหกตามปฏิทินไทย [จันทรคติ] ฝนแรก ตกลงมาส่วนใหญ่ก็คล้อยสงกรานต์ไปแล้วสัก 2 สัปดาห์หรือมากกว่าเล็กน้อย น้ำฝนนองขังอยู่ตามท้องทุ่งพอให้ปลาพล่านออกจากหนองแลบึงสวนทางน้ำไหลขึ้นมา โดยเฉพาะปลาหมอไทยนั้นเก่งที่สุด น้ำมีที่ไหน ปลาหมอไปถึงก่อนปลาอื่นๆ และก็เป็นโอกาสของชาวนาที่จุดคบไฟหรือตะเกียงโคม [น้ำมันก๊าด] ถือฉมวก บ้างก็แห บ้างก็ใช้สุมออกหากบและอึ่งอ่างที่ร้องระงมตั้งแต่ตอนหัวค่ำ เดินเลาะเลียบตามหนองคลองบึงไปเรื่อยๆ กบและอึ่งอ่างนั้นสังเกตได้ง่าย เพราะตาต้องกับแสงไฟ เมื่อเดินไปได้ระยะก็ครอบหรือแทงเอา พอใกล้ค่อนรุ่งปลาใหญ่น้อยทั้งหลายก็จะพล่านสวนน้ำขึ้นมา สังเกตได้จากหญ้าที่ไหวหรือเห็นตัวเลยก็มี กว่าจะกลับบ้านก็เช้า บางคนก็เดินไล่เก็บหอยขมหอยโข่งตามทางเดินจนถึงบ้าน
[ฝนแรก หมายถึง ฝนห่าใหญ่ครั้งแรกของปี]
เมื่อคะเนว่าดินท้องนาอ่อนตัว ชาวนาจะเริ่มทำการไถดะ [ไถนาเพื่อตากดิน] โดยใช้ความเป็นหลัก จะมีก็น้อยรายที่ใช้วัวไถนา วิถีชีวิตเริ่มประมาณ ตีสี่ตีห้าของวัน จะได้ยินเสียงกระดึงคอความดังสลับกับเสียงไล่ควายไปตามทางลงทุ่งเป็นระยะๆ การไถนาจะเริ่มทันทีที่รุ่งสาง โดยพ่อบ้านและลูกชาย ส่วนแม่บ้านหรือลูกสาวจะต้องตื่นกันแต่เช้าเช่นกัน เตรียมทำกับข้าวไปส่งที่ทุ่งนา ส่วนใหญ่กับข้าวจะเป็นปลาที่ได้เตรียมเสบียงไว้แต่หน้าแล้งที่ผ่านมา ส่วนผักจะเป็นหน่อไม้ดองที่ได้ขึ้นไปเก็บบนเขามาดองเก็บไว้หลายๆไห หรือถ้าโชคดีหน่อย ก็เป็น ปลา กบ เขียดที่หาได้จากฝนแรกครั้งนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล ตอนไถนานี้จะมีสมาชิกมาเดินตามไปเป็นเพื่อ เช่น นกเอี้ยง นกกิ้งโครง มันเดินตามไล่จิกกินแมลงที่กระโดด รวมทั้งไส้เดือนที่ติดมากับหน้าดินที่ถูกพลิกขึ้นมา ชาวนาจะหยุดทานข้าวกลางวันอีกทีก็หลังเพล สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล จึงจะมาทานข้าวกลางวัน สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้ บางที่เรียกว่ากินข้าเพลเหมือนพระไปเลย โดยอาศัยเสียงกลองเพลจากวัดหรือจากดวงตะวันแทน ในระหว่างที่พ่อบ้านไถนา ใช่ว่าแม่บ้านจะอยู่เฉยๆ แม่บ้านจะต้องจับจอบขุดมุมนาทั้งสี่ด้านที่ควายไถไปไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นแม่ลูกอ่อน ตอนเช้าก็เดินหาบคอนมาทุ่ง ด้านหน้ามีตะกร้าใส่ลูกน้อย ด้านหลังเป็นเสบียงอาหาร เมื่อถึงนาก็ผูกเปล ใต้ต้นไม้หรือห้างนา [เถียงนา] ที่ได้มาปรับปรุงไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องมดไต่ ไรตอมก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก ลูกชาวนากับมดแมงนั้นคุ้นเคยกันดีอยู่
[เปลผ้าถุง หมายถึง เปลที่ใช้ผ้าถุงของแม่ สอดเชือกในผ้าถุงไปกลับ ปล่อยปลายเชือกทั้งสองด้านไว้ ตัวลูกก็อยู่ระหว่างเชือกสองเส้น ให้ไม้ถ่างหัวท้ายกว้างพอประมาณ]
ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยย้อมสีคราม ตอนเช้ายังไม่ใส่เสื้อ สายๆหน่อยถึงจะใส่เสื้อผ้าดิบย้อมสีคราม ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงและเสื้อผ่าดิบย้อมครามเช่นกัน
หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว ก็จะพักผ่อนนานหน่อย พวกผู้ชายมักจะเดินด่อมๆไปตามที่มีน้ำขัง เก็บหอยโข่ง หอยขมห่อใส่ผ้าขาวม้าไปต้มใส่หน่อไม้ดองเป็นอาหารเย็น
พอบ่ายแก่ๆ ก็จะพักให้ควายกินหญ้าจนใกล้ค่ำ แม่บ้านที่มีลูกหรือมีลูกอ่อนก็จะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมหุงหาอาหารไว้กินมื้อเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะเดินดุ่ยๆกลับบ้านเสียเลยก็ไม่ใช่ จะเดินแวะเก็บผักเรื่อยๆไปจนถึงบ้าน แต่ถ้าเป็นแม่บ้านที่ยังไม่มีลูกก็มักจะกลับพร้อมพ่อบ้าน
ถึงเวลากลับบ้าน พ่อบ้านมักจะทิ้งคันไถและอุปกรณ์ไว้ในนา บางคนก็จมดินไว้ ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครมาเอาไป เป็นกิจวัตรของพ่อบ้านที่ต้องต้อนควายกลับบ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของความ เมื่ออิ่มหนำหรือใกล้ค่ำ ก็จะเดินเล็มหญ้าบ่ายหน้ามาทางบ้านเสมอ พ่อบ้านส่วนใหญ่ก็จะเล็งหาแหล่งน้ำที่ลึกพอจะอาบน้ำก่อนเข้าบ้านไปในคราวเดียวกัน น้ำฝนใหม่นั้นใสจนอดใจไม่ได้ พลบค่ำก็ถึงบ้าน เสียงกระดึงคอความสลับกับเสียงไล่ควายแว่วให้ได้ยินเป็นระยะ บ้านไหนที่แม่บ้านเพิ่งกลับถึงบ้านพร้อมกับพ่อบ้านก็ต้องรีบหุงข้าวทำกับเสียงครกดัง กกๆๆ ไม่เกินสองทุ่ม ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสงบ จะได้ยินบ้างก็แต่เสียงกระดึงคอควายที่ทันสะบัดไล่ยุงไล่แมลง ในคอกควายจะต้องทำพื้นที่เป็นสองส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่แห้ง อีกส่วนเป็นปลักไว้ให้ควายนอนโคลน เพื่อไม่ให้ยุงหรือแมลงกัดถึง
วิถีชีวิตของแม่ลูกอ่อน หลังจากออกไฟแล้วก็ต้องทำงานตามปกติ แม้กระทั่งระหว่างตั้งครรภ์ก็เหมือนกัน ไม่ได้ปวกเปียกเหมือนเช่นคนปัจจุบัน
ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ การเกษตรกรรมยังคงเป็นแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง ยังไม่มีเครื่องจักรกลผ่อนแรงหรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกใดๆในภาคเกษตรกรรม เว้นก็แต่ รถไถนาขนาดใหญ่ที่จะพบเห็นบ้างในห้วงปลายๆ ของช่วงนี้ ซึ่งนับได้ว่าในห้วงปลายนี้ เป็นห้วงของการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมไปสู่สังคมเกษตรกรรมยุคใหม่ ที่อาศัยเครื่องจักรกลทุ่นแรงมาแทนที่ และได้เข้าสู่ยุคเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์ที่เป็น Mass Productivity
เดือนหกตามปฏิทินไทย [จันทรคติ] ฝนแรก ตกลงมาส่วนใหญ่ก็คล้อยสงกรานต์ไปแล้วสัก 2 สัปดาห์หรือมากกว่าเล็กน้อย น้ำฝนนองขังอยู่ตามท้องทุ่งพอให้ปลาพล่านออกจากหนองแลบึงสวนทางน้ำไหลขึ้นมา โดยเฉพาะปลาหมอไทยนั้นเก่งที่สุด น้ำมีที่ไหน ปลาหมอไปถึงก่อนปลาอื่นๆ และก็เป็นโอกาสของชาวนาที่จุดคบไฟหรือตะเกียงโคม [น้ำมันก๊าด] ถือฉมวก บ้างก็แห บ้างก็ใช้สุมออกหากบและอึ่งอ่างที่ร้องระงมตั้งแต่ตอนหัวค่ำ เดินเลาะเลียบตามหนองคลองบึงไปเรื่อยๆ กบและอึ่งอ่างนั้นสังเกตได้ง่าย เพราะตาต้องกับแสงไฟ เมื่อเดินไปได้ระยะก็ครอบหรือแทงเอา พอใกล้ค่อนรุ่งปลาใหญ่น้อยทั้งหลายก็จะพล่านสวนน้ำขึ้นมา สังเกตได้จากหญ้าที่ไหวหรือเห็นตัวเลยก็มี กว่าจะกลับบ้านก็เช้า บางคนก็เดินไล่เก็บหอยขมหอยโข่งตามทางเดินจนถึงบ้าน
[ฝนแรก หมายถึง ฝนห่าใหญ่ครั้งแรกของปี]
เมื่อคะเนว่าดินท้องนาอ่อนตัว ชาวนาจะเริ่มทำการไถดะ [ไถนาเพื่อตากดิน] โดยใช้ความเป็นหลัก จะมีก็น้อยรายที่ใช้วัวไถนา วิถีชีวิตเริ่มประมาณ ตีสี่ตีห้าของวัน จะได้ยินเสียงกระดึงคอความดังสลับกับเสียงไล่ควายไปตามทางลงทุ่งเป็นระยะๆ การไถนาจะเริ่มทันทีที่รุ่งสาง โดยพ่อบ้านและลูกชาย ส่วนแม่บ้านหรือลูกสาวจะต้องตื่นกันแต่เช้าเช่นกัน เตรียมทำกับข้าวไปส่งที่ทุ่งนา ส่วนใหญ่กับข้าวจะเป็นปลาที่ได้เตรียมเสบียงไว้แต่หน้าแล้งที่ผ่านมา ส่วนผักจะเป็นหน่อไม้ดองที่ได้ขึ้นไปเก็บบนเขามาดองเก็บไว้หลายๆไห หรือถ้าโชคดีหน่อย ก็เป็น ปลา กบ เขียดที่หาได้จากฝนแรกครั้งนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล ตอนไถนานี้จะมีสมาชิกมาเดินตามไปเป็นเพื่อ เช่น นกเอี้ยง นกกิ้งโครง มันเดินตามไล่จิกกินแมลงที่กระโดด รวมทั้งไส้เดือนที่ติดมากับหน้าดินที่ถูกพลิกขึ้นมา ชาวนาจะหยุดทานข้าวกลางวันอีกทีก็หลังเพล สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล จึงจะมาทานข้าวกลางวัน สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้ บางที่เรียกว่ากินข้าเพลเหมือนพระไปเลย โดยอาศัยเสียงกลองเพลจากวัดหรือจากดวงตะวันแทน ในระหว่างที่พ่อบ้านไถนา ใช่ว่าแม่บ้านจะอยู่เฉยๆ แม่บ้านจะต้องจับจอบขุดมุมนาทั้งสี่ด้านที่ควายไถไปไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นแม่ลูกอ่อน ตอนเช้าก็เดินหาบคอนมาทุ่ง ด้านหน้ามีตะกร้าใส่ลูกน้อย ด้านหลังเป็นเสบียงอาหาร เมื่อถึงนาก็ผูกเปล ใต้ต้นไม้หรือห้างนา [เถียงนา] ที่ได้มาปรับปรุงไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องมดไต่ ไรตอมก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก ลูกชาวนากับมดแมงนั้นคุ้นเคยกันดีอยู่
[เปลผ้าถุง หมายถึง เปลที่ใช้ผ้าถุงของแม่ สอดเชือกในผ้าถุงไปกลับ ปล่อยปลายเชือกทั้งสองด้านไว้ ตัวลูกก็อยู่ระหว่างเชือกสองเส้น ให้ไม้ถ่างหัวท้ายกว้างพอประมาณ]
ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยย้อมสีคราม ตอนเช้ายังไม่ใส่เสื้อ สายๆหน่อยถึงจะใส่เสื้อผ้าดิบย้อมสีคราม ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงและเสื้อผ่าดิบย้อมครามเช่นกัน
หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว ก็จะพักผ่อนนานหน่อย พวกผู้ชายมักจะเดินด่อมๆไปตามที่มีน้ำขัง เก็บหอยโข่ง หอยขมห่อใส่ผ้าขาวม้าไปต้มใส่หน่อไม้ดองเป็นอาหารเย็น
พอบ่ายแก่ๆ ก็จะพักให้ควายกินหญ้าจนใกล้ค่ำ แม่บ้านที่มีลูกหรือมีลูกอ่อนก็จะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมหุงหาอาหารไว้กินมื้อเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะเดินดุ่ยๆกลับบ้านเสียเลยก็ไม่ใช่ จะเดินแวะเก็บผักเรื่อยๆไปจนถึงบ้าน แต่ถ้าเป็นแม่บ้านที่ยังไม่มีลูกก็มักจะกลับพร้อมพ่อบ้าน
ถึงเวลากลับบ้าน พ่อบ้านมักจะทิ้งคันไถและอุปกรณ์ไว้ในนา บางคนก็จมดินไว้ ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครมาเอาไป เป็นกิจวัตรของพ่อบ้านที่ต้องต้อนควายกลับบ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของความ เมื่ออิ่มหนำหรือใกล้ค่ำ ก็จะเดินเล็มหญ้าบ่ายหน้ามาทางบ้านเสมอ พ่อบ้านส่วนใหญ่ก็จะเล็งหาแหล่งน้ำที่ลึกพอจะอาบน้ำก่อนเข้าบ้านไปในคราวเดียวกัน น้ำฝนใหม่นั้นใสจนอดใจไม่ได้ พลบค่ำก็ถึงบ้าน เสียงกระดึงคอความสลับกับเสียงไล่ควายแว่วให้ได้ยินเป็นระยะ บ้านไหนที่แม่บ้านเพิ่งกลับถึงบ้านพร้อมกับพ่อบ้านก็ต้องรีบหุงข้าวทำกับเสียงครกดัง กกๆๆ ไม่เกินสองทุ่ม ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสงบ จะได้ยินบ้างก็แต่เสียงกระดึงคอควายที่ทันสะบัดไล่ยุงไล่แมลง ในคอกควายจะต้องทำพื้นที่เป็นสองส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่แห้ง อีกส่วนเป็นปลักไว้ให้ควายนอนโคลน เพื่อไม่ให้ยุงหรือแมลงกัดถึง
วิถีชีวิตของแม่ลูกอ่อน หลังจากออกไฟแล้วก็ต้องทำงานตามปกติ แม้กระทั่งระหว่างตั้งครรภ์ก็เหมือนกัน ไม่ได้ปวกเปียกเหมือนเช่นคนปัจจุบัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)