วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2551

วิถีชนบทไทย(๓)

สำหรับนาดำนั้น ก็ต้องรอตากดินจนกว่าฤดูทำนาจะมาถึงจริงๆ แต่จะต้องปลูกกล้าข้าวไว้ใช้ดำนา เริ่มจากการกักน้ำไว้ในแปลงนาที่จะทำแปลงกล้าข้าว โดยไถดินและไถซ้ำ (ไถสอด) หลังจากนั้นจึงคราดเอาหญ้าออก แล้วจึงจะปรับพื้นที่ด้วยขลุบ จะได้ยินเสียงขลุบตีน้ำและดินดังแต่ไกล[เทือกนา] ช่วงนี้เด็กๆ มักจะเดินตามผู้ใหญ่ไปด้วย คอยจับปลาและกบที่กำลังงง เมื่อแล้วเสร็จทิ้งไว้บ่ายๆก็หว่านข้าวกล้าได้ที่ได้เตรียมพันธุ์ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนที่จะเอามาหว่านก็จะต้องนำข้าวพันธุ์ใส่กระสอบแช่น้ำไว้สัก ๑ คืนก่อนจึงเอามาหว่านได้ หลังจากหว่านแล้วให้ทิ้งไว้ ๑ คืน ก็ต้องไขน้ำออกจากแปลงข้าวกล้า ช่วงนี้ก็ต้องระวังพวกนกพวกหนูไม่มากวน หลังจากนั้นอีก ๑๐-๑๕ วันจึงจะไขน้ำเข้ามาในแปลงกล้าข้าวได้ กล้าข้าวที่จะนำไปปลูกได้ ควรจะมีอายุไม่น้อยกว่า ๒๕ วัน
ช่วงระหว่างรอฤดูฝนที่จะมาจริง ชาวนาจะต้องทำการซ่อมคันนาอุดรอยรั่วที่เกิดจากหนูและปูให้เรียบร้อยหรืออาจจำเป็นต้องเสริมคันนาให้สูงขึ้น ถ้าเป็นคันนาสูงๆ ก็ต้องใช้พลั่วยาวและมีที่เหยียบสำหรับเวลาแทงดิน แต่ถ้าเป็นคันนาเตี้ยๆก็นิยมใช้จอบและเสียมก็เพียงพอ สำคัญอยู่ที่การเรียงดินที่เสริมขึ้นมา ต้องเรียงให้เป็นระเบียบและห้ามคนขึ้นไปเดิน บางรายก็ใช้หนามคลุมไว้ก็มี นอกจากนั้นชาวนาต้องใช้เวลาช่วงนี้ออกหาเสบียงไว้สำหรับฤดูทำนา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง ชาวนาจะไม่มีเวลาไปหาปูหาปลาหรือแม้กระทั่งขึ้นไปเก็บหน่อไม้บนเขา
ช่วงเวลานี้เช่นกัน ที่เป็นช่วงเวลาของการขุนวัวควายให้อ้วนพี ด้วยหญ้าระบัดที่งอกงามจากน้ำฝนตามคันนาที่ถูกเผาไปเมื่อหน้าแล้ง และหญ้ากลางนาที่งอกงามจากเบี้ยที่หลงเหลืออยู่จากหน้าแล้ง ประกอบกับน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ หน้านี้จึงเห็นปลักควายอยู่ทั่วไปตามท้องทุ่ง
แต่สำหรับนาใหม่ ซึ่งก็คือนาที่เพิ่งจะบุกเบิกจากป่าละเมาะหรือป่าไผ่ ก็จะเหนื่อยเอาการอยู่ เพราะจะต้องถางป่า และขุดต้นไม้ออกจากแปลงให้มากที่สุด ต้นไม้ที่ได้ก็เอามาเผ่าถ่านเก็บไว้ใช้ในครัวเรือนได้อีก การถางป่านั้น โดยทั่วไปเขาจะถางป่าหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวไปแล้ว ปล่อยให้ไม้แห้งโดยการทิ้งไว้จนใกล้ฤดูฝน จึงจะเผาได้ แต่จะต้องเตรียมการไว้ให้ดี คือมีแนวกันไฟ ระดมคนไว้คอยดับไฟ ถ้าหากมีไฟออกนอกแนวกันไฟ เมื่อพลบค่ำจึงจะเริ่มจุดไฟได้ เสียงไฟประทุผสมกับเสียงระเบิดของปล้องไผ่ที่ถูกความร้อน และก็เป็นเรื่องปกติที่มีไฟก็ต้องมีลม บางครั้งจึงดูน่ากลัวถ้าเผาป่าใกล้บ้านมากๆ เพราะหลังคาบ้านเป็นหญ้าแฝกทั้งสิ้น ฉะนั้น เมื่อไรก็ตามที่ต้องเผาป่าใกล้บ้าน จึงต้องเตรียมถังน้ำและคนอยู่บนหลังคาไว้พร้อม
อย่างไรก็ตาม การเผาป่าด้วยตามลักษณะนี้ หนีไม่พ้นที่จะมีการทำลายสัตว์ป่าไปด้วยฉะนั้น เมื่อมีการเผาป่า ชาวนาจะเตรียมปืนลูกซองยาวหรือปืนแก็บแล้วก็ไปดักตามด่านที่สัตว์จะหนีไฟออกไปเข้าทางปืน ส่วนใหญ่จะเป็น เสือปลา อีเห็น พังพอนและนิ่ม แต่บางครั้งก็น่าอเนจอนาถ ถ้าป่านั้นมีแมวป่าที่มีลูกอ่อนอาศัยอยู่ สัตว์พวกนี้มีสัญชาตญาณการหนีไฟ แต่ไม่สามารถเอาลูกเล็กไปได้ อย่างไรก็ตามลูกแมวป่านั้น ชาวบ้านชอบที่จะเก็บเอามาเลี้ยง เพราะเก่งในการจับหนูที่จะมากินพืชพันธุ์ที่เก็บไว้ แต่ที่สุดแล้ว สัญชาตญาณของแมวป่านั้นชอบที่จะอยู่ป่าและหากินไกลๆ มันจะออกจากบ้านเมื่อโตขึ้น แล้วก็ปล่อยให้เจ้าของที่เลี้ยงเฝ้าคิดถึงมันด้วยความห่วงหา นาใหม่ผสมกับเถ้าธุลีนั้น ขอให้มีน้ำพอชุ่มชื้นก็เพียงพอแล้วสำหรับการปลูกข้าว วิธีการปลูกก็คล้ายกับนาดำ แต่ไม่ต้องตีคราดหรือขลุบ เพราะน้ำจะยังไปไม่ค่อยถึง ใช้เพียงไม้แหลมแทงดินให้เป็นรูขนาดพอที่จะใส่กล้าข้าวก็พอ ต้นข้าวในนาใหม่ก็จะแตกพุ่มกว้างใหญ่ให้ผลผลิตดีเหลือเกิน นอกจากนั้น นาใหม่ยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นผักในแปลงนาหรือแม้กระทั่งปลาดุกที่ชอบเหลือเกินกับนาใหม่
เมื่อฝนในฤดูฝนมาเยือน ชาวนาก็จะเริ่มวิถีชีวิตอย่างที่เคยเป็นมาในสมัยปู่ย่า เสียงกระดึงคอควายสลับกับเสียงไล่ควายเริ่มแต่ก่อนรุ่งสาง ไถแปรแล้วจึงไถสอด คราดแล้วจึงตีขลุบ คนถอนกล้าก็ถอนเตรียมไว้ ก่อนถอนกล้านั้น การถอนกล้านั้น โดยทั่วไปใช้มือซ้ายรวบใบกล้าบิดเล็กน้อยมือขวาประคองแล้วลากเกือบขนานกับพื้นระนาบ แล้วฟาดต้นกล้ากับฝ่าเท้าให้ดินหลุดจากรากกล้าข้าวพอประมาณ นั้นคนถอนกล้าจึงมักเปื้อนดินโคลน เพราะดินที่กระเด็นจากตัวเองทำเองบ้าง จากคนข้างเคียงบ้าง เมื่อได้ขนาดพอดีแล้ว จึงมัดเป็นกำๆ แช่น้ำไว้
การไถนา การถอนกล้าและการดำนา จะต้องรีบทำให้เร็ว จึงมักจะเอาแรงกัน ที่เรียกกันว่า การลงแขก เจ้าของนาจะไปบอกกล่าวเพื่อนบ้าน ขอแรงไถนาวันนั้นวันนี้ แล้วเตรียมอาหารไว้สำหรับเลี้ยงแขก ตามจำนวนที่ได้ขอแรงไว้ และก็เป็นประเพณีที่จะต้องไปใช้แรงคนอื่นๆที่มาช่วยเรา สำหรับอาหารนั้นก็ตามอัตภาพ ขออย่างเดียว อย่าได้เลี้ยงแขกด้วยน้ำพริก ปลาเผาอย่างเด็ดขาด เพราะแขกจะกินกันอย่างเต็มคราบ ข้าวที่เตรียมไว้ก็จะไม่พอ กินมากก็อุ้ยอ้ายแล้วก็ชักง่วงนอน จะพาลเสียการเสียงานไปเปล่าๆ
การดำนา เมื่อตีเทือกนาได้ที่แล้ว คนที่เตรียมกล้าจะตัดใบกล้าข้าวให้สั้นลงพอประมาณ โดยการปักมีดกับเฉียงๆ แล้วจับมัดกล้ารูดลงให้ใบมีดตัดใบกล้า แล้วจึงหาบกล้ามาโยนทิ้งในเทือกนาในตำแหน่งที่หยิบฉวยได้ โดยที่คนดำนาไม่ต้องเดินไปเดินมาไกลๆให้เสียเทือกนา การหาบกล้านั้นใช้วิธีเรียงกำกล้าเป็นชั้นๆวางในไม้รองกล้า ส่วนผู้ที่ดำนาจะปักกล้าข้าว โดยจับโคนกล้าด้วยนิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางจิ้มลงในดินแล้วปิดด้วยนิ้วโป้งอีกที การดำนาก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ชาวนาได้สังสรรค์กัน เพราะดำนาไปก็ได้พูดคุยกันไปด้วย ยิ่งถ้าเป็นการลงแขกก็ยิ่งคึกครื้นมากขึ้น เพราะบางครัวเรือนก็มีวิทยุทรานซิสเตอร์ได้ฟังนิยายหรือฟังเพลงลูกทุ่งไปด้วย บางคนก็มีดีที่โวหารหรือร้องเพลงให้เป็นที่คึกครื้น พอให้ลืมความเมื่อยล้า แต่คนที่อายุมากหน่อย พอกลับถึงบ้านมักจะให้ลูกหลานเหยียบหลังให้ เพราะต้องก้มนานๆ เมื่อดำนาตัวเองเสร็จแล้วก็ไปใช้แรงคนอื่นบ้างไล่วนกันไปจนแล้วเสร็จกันทั้งหมู่บ้านและข้างเคียง ใช้เวลาทั้งหมดก็ไม่เกินเดือน
ในช่วงเวลานี้ เจ้าของนาต้องหมั่นมาดูแลนาเหมือนกัน คอยดูหมั่นอุดรูน้ำรั่วซึมตามคันนาจึงมักจะเห็นชาวนาแบกจอบและมีดหวดเดินท่อมๆในนา ในนาที่เพิ่งดำเสร็จใหม่ๆ ใช่ว่าจะไม่มีปลาในนาข้าว ในนาข้าวที่เห็นน้ำขุ่นโคลนตมนั้น ชาวนาจะใช้รันดักปลาไหล รันดักปลาไหลใช้ไม้ไผ่ทะลวงปล้องเหลือเฉพาะข้อท้ายลำ ที่ปล้องท้ายลำจะเปิดรูเป็นแนวยาวเกือบตลอดป้อง ด้านหัว รันจะใส่งามีไม้สอดป้องกันงาหลุดและใช้ปักดิน ปลาไหลจะเข้าได้แต่ออกไม่ได้ เหยื่อล่อปลาไหลจะใช้เหยื่อที่เป็นไส้เดือนสับหรือหอยทุบคลุกกับดินให้เป็นก้อน วิธีดักจะใช้เท้าถีบดินใต้น้ำให้เป็นทางเรียบ ใส่เหยื่อลงในรัน กดปากกระบอกรันให้แทนปักดินให้หน้ารันเสมอดิน ส่วนด้านท้ายจะลอยขึ้นให้รูเปิดบางส่วนของท้ายรันปิ่มๆน้ำ เพื่อให้อาหารส่งกลิ่นล่อปลาไหล ให้เอาใบไม้คลุมส่วนนี้ไว้ด้วย ตอนเช้าก็ไปกู้รัน เราจะรู้ว่ารันไหนมีปลาไหลหรือไม่ ก็ในทันทีที่ยกรันขึ้น ถ้ามีหลาไหลอยู่ น้ำที่ไหลจากรันตอนที่ยกรันขึ้นจากน้ำจะเป็นช่วงและมีเสียงดัง
เมื่อในนาข้าวน้ำเริ่มใสแล้ว มีปลามากมายหลากหลายชนิด ใครใคร่หาจับปลาอย่างไรก็ตามวิธีถนัดของตนเอง
การหาปลาในนาข้าว มีหลายๆวิธี ได้แก่ การปักเบ็ด การดักลอบ การดักซ่อน
1. การปักเบ็ด ใช้ไม้ไผ่เหล่าเป็นคันเบ็ด ดัดให้โค้งและอ่อนตัวด้วยการลนไฟอ่อนๆ เสร็จแล้วจึงผูกสายและติดเบ็ด และที่เกี่ยวเก็บเบ็ดตอนที่ไม่ใช้งาน วิธีปักเบ็ดและแหล่งที่จะปักเบ็ดนั้นขึ้นกับชนิดของปลา ที่เราต้องการจะได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องใช้เท้ากวาดดินใต้น้ำให้เรียบก่อนทุกครั้ง จึงจะได้ผลดี
1.1 การปักเบ็ดปลาช่อน ปลาหมอ มักจะปักในพื้นที่ที่มีน้ำใสค่อนข้างลึกสักหัวเข่าขึ้นไป การกวาดพื้นที่ใต้น้ำสำหรับปลาช่อนนั้นจะต้องเรียบและกว้างกว้าปลาหมอ
1.2 การปักเบ็ดปลาดุก มักจะเลือกพื้นที่ที่มีหญ้าน้ำรกๆ น้ำใสและไม่ลึก โดยเฉพาะถ้าเป็นนาใหม่จะมีปลาดุกชอบมาอาศัยมากที่สุด
2. การดักลอบ วิธีนี้จะดักในทางน้ำไหล โดยการกั้นเฝือกหน้าทางน้ำไหลหรือใต้ทางน้ำไหล ยิ่งเฝือกยาวก็จะดี ทั้งหน้าเฝือกและหน้าลอบดักปลาจะต้องอัดหญ้าให้แน่น ถ้าไม่อัดหญ้าแล้วก็รับรองว่าจะไม่ได้ปลาแน่นอน และที่ปากลอบให้ใช้โคลนทาไว้ด้วย
3. การดักซ่อน ซ่อนเป็นเครื่องมือจับปลาที่ให้ปลาเข้าได้แต่ถอยหลังไม่ได้ ไม่ต้องมีงาเป็นเพียงไม้ไผ่สานรูปกระบอกมัดที่ด้านท้ายเท่านั้น ใช้วางดักปลาในทางน้ำไหลหรือรูน้ำไหล จะได้ผลดีในหน้าหนาว ถ้าเป็นทางน้ำไหลแบบตกลงจะได้ปลาดุก ถ้าเป็นทางน้ำไหลแบบไหลลงธรรมดามักจะได้ปลาช่อนและปลาหมออัดกันจนแน่นซ่อน

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2550

วิถีชนบทไทย(๒)

สำหรับนาดำนั้น ก็ต้องรอตากดินจนกว่าฤดูทำนาจะมาถึงจริงๆ แต่จะต้องปลูกกล้าข้าวไว้ใช้ดำนา เริ่มจากการกักน้ำไว้ในแปลงนาที่จะทำแปลงกล้าข้าว โดยไถดินและไถซ้ำ (ไถสอด) หลังจากนั้นจึงคราดเอาหญ้าออก แล้วจึงจะปรับพื้นที่ด้วยขลุบ จะได้ยินเสียงขลุบตีน้ำและดินดังแต่ไกล[เทือกนา] ช่วงนี้เด็กๆ มักจะเดินตามผู้ใหญ่ไปด้วย คอยจับปลาและกบที่กำลังงง เมื่อแล้วเสร็จทิ้งไว้บ่ายๆก็หว่านข้าวกล้าได้ที่ได้เตรียมพันธุ์ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก่อนที่จะเอามาหว่านก็จะต้องนำข้าวพันธุ์ใส่กระสอบแช่น้ำไว้สัก ๑ คืนก่อนจึงเอามาหว่านได้ หลังจากหว่านแล้วให้ทิ้งไว้ ๑ คืน ก็ต้องไขน้ำออกจากแปลงข้าวกล้า ช่วงนี้ก็ต้องระวังพวกนกพวกหนูไม่มากวน หลังจากนั้นอีก ๑๐-๑๕ วันจึงจะไขน้ำเข้ามาในแปลงกล้าข้าวได้ กล้าข้าวที่จะนำไปปลูกได้ ควรจะมีอายุไม่น้อยกว่า ๒๕ วัน
ช่วงระหว่างรอฤดูฝนที่จะมาจริง ชาวนาจะต้องทำการซ่อมคันนาอุดรอยรั่วที่เกิดจากหนูและปูให้เรียบร้อยหรืออาจจำเป็นต้องเสริมคันนาให้สูงขึ้น ถ้าเป็นคันนาสูงๆ ก็ต้องใช้พลั่วยาวและมีที่เหยียบสำหรับเวลาแทงดิน แต่ถ้าเป็นคันนาเตี้ยๆก็นิยมใช้จอบและเสียมก็เพียงพอ สำคัญอยู่ที่การเรียงดินที่เสริมขึ้นมา ต้องเรียงให้เป็นระเบียบและห้ามคนขึ้นไปเดิน บางรายก็ใช้หนามคลุมไว้ก็มี นอกจากนั้นชาวนาต้องใช้เวลาช่วงนี้ออกหาเสบียงไว้สำหรับฤดูทำนา เพราะเมื่อถึงเวลานั้นมาถึง ชาวนาจะไม่มีเวลาไปหาปูหาปลาหรือแม้กระทั่งขึ้นไปเก็บหน่อไม้บนเขา
ช่วงเวลานี้เช่นกัน ที่เป็นช่วงเวลาของการขุนวัวควายให้อ้วนพี ด้วยหญ้าระบัดที่งอกงามจากน้ำฝนตามคันนาที่ถูกเผาไปเมื่อหน้าแล้ง และหญ้ากลางนาที่งอกงามจากเบี้ยที่หลงเหลืออยู่จากหน้าแล้ง ประกอบกับน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ หน้านี้จึงเห็นปลักควายอยู่ทั่วไปตามท้องทุ่ง

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

วิถีชนบทไทย (๑)

ฝนแรกในสมัยก่อนนั้น แรงมากๆ ฝนแรกจะมาทั้งลมพายุและลมฝน ถ้ามาตอนหัวค่ำจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีแดง ตอนเช้าหลังจากพายุผ่านไปนั้น ตามท้องทุ่งนาจะพบเห็นต้นไม้หักโค่นลงมาพร้อมกับลูกนกหรือรังนกที่ไข่แตกกระจาย ลูกนกบางรายก็ตาย ที่โชคดีหน่อยก็มีคนเก็บมาเลี้ยง นกในสมัยนั้นยังมีมากมาย นับชนิดไม่ถ้วน ถ้าไม่ใช่หน้าฝน ในตอนเย็นจนถึงพลบค่ำ จะมีฝูงนกบินเป็นฝูง พวกใครพวกมัน คลาคล่ำส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วท้องฟ้า ถ้าใครสังเกตให้ดี ก็จะพบว่ามันไม่ได้บินโดยไม่มีระเบียบ นกจะบินโดยมีผู้นำเสมอและเป็นรูปตัววีในภาษาอังกฤษ จะมีก็แต่นกนางแอ่นเท่านั้นที่บินวนจนไม่รู้ว่ารูปอะไร แต่มันก็บินจากเขาไปทางบึงและด้านตะวันออกไปด้านตะวันตกเสมอ ความที่มากจนเด็กหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ ต้องมานั่งยิงหนังสะติ้ก เสียลูกกระสุนเป็นร้อยๆโดยไม่ได้นกแม้แต่ตัวเดียว แต่ก็ยิงอยู่ได้ทุกวัน
ฝนแรกนั้นมีคุณอนันต์จริงๆ บ่งบอกถึงฤดูทำนาและยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์ตามมา ไม่ว่าจะเป็นผักบุ้งหรือผักอื่นๆที่หลงเหลือเพียงเบี้ย เมื่อได้น้ำฝนก็แข่งกันผลิยอดแตกกอ อาหารการกินสมัยนั้น ไม่ต้องซื้อหา เพียงเดินริมรั้วหรือชายทุ่งก็มีเหลือเฝือ
ก่อนฝนแรกจะมานั้น จะมีฝนนำมาก่อนพอให้เบี้ยผักและกอหญ้าที่ถูกไฟเผาได้ชุ่มชื้น ผักก็แตกยอดหญ้าก็ระบัดใบ ไม้ไผ่ในป่าข้างบ้านและหัวไรปลายนาก็แทงหน่อ สมัยนั้น หน่อไผ่มีมากเสียจนเก็บกันไม่ทัน ปล่อยให้หน่อสูง พอได้มีโอกาสเป็นต้นใหม่ ชาวนาจึงมักจะเลือกเฉพาะหน่อไผ่บง ที่หักหน่อยาวสักศอกเศษๆ เอามาเผาไฟให้พอสุกหอม เสร็จแล้วก็เอาไม้ไผ่มากรีดให้เป็นเส้น ๆ แต่ก็ไม่ได้เอามาผัดไข่เหมือนเช่นสมัยนี้ เพราะสมัยก่อน ไข่มีไว้สำหรับเพาะลูกไก่หรือสำหรับเด็กเล็กหรือผู้ป่วยพักฟื้นเท่านั้น
จริงๆแล้ว บนเขาจะมีฝนก่อนพื้นราบ ชาวนาจะไปเก็บหน่อไม้บนเขามาดองเก็บไว้เป็นเสบียงสำหรับฤดูการทำนา แต่ถ้าเป็นหน่อไม้คายเขาจะเผาแล้วจับเป็นมัดๆ เก็บไว้ต้มจิ้มน้ำพริกอร่อยดี เพราะว่าจะมีรสหวานอมเปรี้ยวซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของไผ่ชนิดนี้
ในทุ่งนาหลังฝนใหม่ อายดินกลิ่นหอมบ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของท้องทุ่ง ขอให้มีน้ำก็เพียงพอแล้ว หญ้าที่ผ่านการถูกเผาด้วยไฟในหน้าแล้ง จะแทงยอดมาเป็นอาหารชั้นดีให้กับคนและวัวควาย ใช่! คนและวัวควายกินอาหารชนิดเดียวกันนั่นเลย ในทุ่งนาตามแนวคันนาและแนวป่า ผักตำลึง ผักกระโดนน้ำกระโดนดิน จิกนาและเม็ก ถ้าโชคดีหน่อยไปก่อนคนอื่นๆ ก็จะได้ผักหวานป่ายอดเปราะไว้ทำแกงผักหวาน ก็ผักหวานนั้นอยู่ตรงไหน ใครๆก็รู้ แต่ถ้าเข้าไปในป่าละเมาะรอบๆนา หน้าเห็ดเผาะ ก็ไล่เก็บไปตามรอบๆพุ่มไม้ตับเต่า เพราะเห็ดเผาะชอบขึ้นในป่าเบญจพรรณ ที่มากด้วยพลวง พะยอม แดงและประดู่ ส่วนเต็งนั้นมักจะเป็นต้นใหญ่ๆและป่าค่อนข้างทึบน่ากลัว ป่าก็ยังเป็นป่า แม้แต่ป่าข้างรั้วบ้านก็ตามที มอสเกาะต้นไม้ใหญ่จนเป็นสีเขียวทั้งต้น กล้วยไม้ป่านานาชนิดยังเกาะต้นไม้ กระแตไต่ไม้และพืชชั้นต่ำยังมีให้เห็น ความอุดมสมบูรณ์ของป่านั้น แม้แต่ป่าข้างบ้าน สัตว์ป่า กระรอก กระแต อีเห็น เสือปลา พังพอนและนิ่ม ส่วนงูนั้น ให้ระวังพวกงูเหลือมงูหลาม ตัวขนาดโคนขาผู้ใหญ่ เข้าป่าใกล้บ้านจึงต้องมีมีดซุยหรือมีดเดินป่าที่คมกริบขนาดโกนขนหน้าแข็งให้ราบเรียบได้อย่างสบาย เขาจึงมักหวงกันนักหนาไม่ใคร่ให้ใครยืมหรือจับคมมีด และห้ามปักมีดบนดิน หน้าแล้งบางปีก็พบหมูป่าและเลียงผาที่ถูกเสือต้อนหนีเตลิดลงจากเขามาให้หมาไล่ก็มี
ฝนแรกนั้น สำหรับนาบึงหรือนาตามชายขอบบึงจะมีน้ำขัง ชาวนาจะต้องรีบไถดะและไถแปรและรีบหว่านข้าวทำนาหว่าน เมื่อน้ำมา ต้นข้าวจะได้ตั้งตัวและยืดหนีน้ำได้ทัน ลำพังน้ำท่วม ถ้าข้าวยืดหนีน้ำได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ก็แสดงว่า ปีนั้นนาหว่านจะได้ผลดี

วิถีชนบท ชาวนาไทย

วิถีชีวิตชนบทชาวนาไทย ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘- ๒๕๒๓ [อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก]
ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ การเกษตรกรรมยังคงเป็นแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง ยังไม่มีเครื่องจักรกลผ่อนแรงหรือเครื่องมืออำนวยความสะดวกใดๆในภาคเกษตรกรรม เว้นก็แต่ รถไถนาขนาดใหญ่ที่จะพบเห็นบ้างในห้วงปลายๆ ของช่วงนี้ ซึ่งนับได้ว่าในห้วงปลายนี้ เป็นห้วงของการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรกรรมดั้งเดิมไปสู่สังคมเกษตรกรรมยุคใหม่ ที่อาศัยเครื่องจักรกลทุ่นแรงมาแทนที่ และได้เข้าสู่ยุคเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์ที่เป็น Mass Productivity
เดือนหกตามปฏิทินไทย [จันทรคติ] ฝนแรก ตกลงมาส่วนใหญ่ก็คล้อยสงกรานต์ไปแล้วสัก 2 สัปดาห์หรือมากกว่าเล็กน้อย น้ำฝนนองขังอยู่ตามท้องทุ่งพอให้ปลาพล่านออกจากหนองแลบึงสวนทางน้ำไหลขึ้นมา โดยเฉพาะปลาหมอไทยนั้นเก่งที่สุด น้ำมีที่ไหน ปลาหมอไปถึงก่อนปลาอื่นๆ และก็เป็นโอกาสของชาวนาที่จุดคบไฟหรือตะเกียงโคม [น้ำมันก๊าด] ถือฉมวก บ้างก็แห บ้างก็ใช้สุมออกหากบและอึ่งอ่างที่ร้องระงมตั้งแต่ตอนหัวค่ำ เดินเลาะเลียบตามหนองคลองบึงไปเรื่อยๆ กบและอึ่งอ่างนั้นสังเกตได้ง่าย เพราะตาต้องกับแสงไฟ เมื่อเดินไปได้ระยะก็ครอบหรือแทงเอา พอใกล้ค่อนรุ่งปลาใหญ่น้อยทั้งหลายก็จะพล่านสวนน้ำขึ้นมา สังเกตได้จากหญ้าที่ไหวหรือเห็นตัวเลยก็มี กว่าจะกลับบ้านก็เช้า บางคนก็เดินไล่เก็บหอยขมหอยโข่งตามทางเดินจนถึงบ้าน
[ฝนแรก หมายถึง ฝนห่าใหญ่ครั้งแรกของปี]
เมื่อคะเนว่าดินท้องนาอ่อนตัว ชาวนาจะเริ่มทำการไถดะ [ไถนาเพื่อตากดิน] โดยใช้ความเป็นหลัก จะมีก็น้อยรายที่ใช้วัวไถนา วิถีชีวิตเริ่มประมาณ ตีสี่ตีห้าของวัน จะได้ยินเสียงกระดึงคอความดังสลับกับเสียงไล่ควายไปตามทางลงทุ่งเป็นระยะๆ การไถนาจะเริ่มทันทีที่รุ่งสาง โดยพ่อบ้านและลูกชาย ส่วนแม่บ้านหรือลูกสาวจะต้องตื่นกันแต่เช้าเช่นกัน เตรียมทำกับข้าวไปส่งที่ทุ่งนา ส่วนใหญ่กับข้าวจะเป็นปลาที่ได้เตรียมเสบียงไว้แต่หน้าแล้งที่ผ่านมา ส่วนผักจะเป็นหน่อไม้ดองที่ได้ขึ้นไปเก็บบนเขามาดองเก็บไว้หลายๆไห หรือถ้าโชคดีหน่อย ก็เป็น ปลา กบ เขียดที่หาได้จากฝนแรกครั้งนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล ตอนไถนานี้จะมีสมาชิกมาเดินตามไปเป็นเพื่อ เช่น นกเอี้ยง นกกิ้งโครง มันเดินตามไล่จิกกินแมลงที่กระโดด รวมทั้งไส้เดือนที่ติดมากับหน้าดินที่ถูกพลิกขึ้นมา ชาวนาจะหยุดทานข้าวกลางวันอีกทีก็หลังเพล สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้
กินข้าวพักผ่อนสักครึ่งชั่วโมง จึงไถนาต่อจนถึงเพล จึงจะมาทานข้าวกลางวัน สมัยก่อนจึงไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงเหมือนสมัยนี้ บางที่เรียกว่ากินข้าเพลเหมือนพระไปเลย โดยอาศัยเสียงกลองเพลจากวัดหรือจากดวงตะวันแทน ในระหว่างที่พ่อบ้านไถนา ใช่ว่าแม่บ้านจะอยู่เฉยๆ แม่บ้านจะต้องจับจอบขุดมุมนาทั้งสี่ด้านที่ควายไถไปไม่ถึง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นแม่ลูกอ่อน ตอนเช้าก็เดินหาบคอนมาทุ่ง ด้านหน้ามีตะกร้าใส่ลูกน้อย ด้านหลังเป็นเสบียงอาหาร เมื่อถึงนาก็ผูกเปล ใต้ต้นไม้หรือห้างนา [เถียงนา] ที่ได้มาปรับปรุงไว้ก่อนหน้านี้ เรื่องมดไต่ ไรตอมก็ไม่ได้ยุ่งยากมากนัก ลูกชาวนากับมดแมงนั้นคุ้นเคยกันดีอยู่
[เปลผ้าถุง หมายถึง เปลที่ใช้ผ้าถุงของแม่ สอดเชือกในผ้าถุงไปกลับ ปล่อยปลายเชือกทั้งสองด้านไว้ ตัวลูกก็อยู่ระหว่างเชือกสองเส้น ให้ไม้ถ่างหัวท้ายกว้างพอประมาณ]
ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยย้อมสีคราม ตอนเช้ายังไม่ใส่เสื้อ สายๆหน่อยถึงจะใส่เสื้อผ้าดิบย้อมสีคราม ส่วนผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงและเสื้อผ่าดิบย้อมครามเช่นกัน
หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว ก็จะพักผ่อนนานหน่อย พวกผู้ชายมักจะเดินด่อมๆไปตามที่มีน้ำขัง เก็บหอยโข่ง หอยขมห่อใส่ผ้าขาวม้าไปต้มใส่หน่อไม้ดองเป็นอาหารเย็น
พอบ่ายแก่ๆ ก็จะพักให้ควายกินหญ้าจนใกล้ค่ำ แม่บ้านที่มีลูกหรือมีลูกอ่อนก็จะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมหุงหาอาหารไว้กินมื้อเย็น แต่ก็ใช่ว่าจะเดินดุ่ยๆกลับบ้านเสียเลยก็ไม่ใช่ จะเดินแวะเก็บผักเรื่อยๆไปจนถึงบ้าน แต่ถ้าเป็นแม่บ้านที่ยังไม่มีลูกก็มักจะกลับพร้อมพ่อบ้าน
ถึงเวลากลับบ้าน พ่อบ้านมักจะทิ้งคันไถและอุปกรณ์ไว้ในนา บางคนก็จมดินไว้ ทั้งๆที่ก็ไม่มีใครมาเอาไป เป็นกิจวัตรของพ่อบ้านที่ต้องต้อนควายกลับบ้าน ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของความ เมื่ออิ่มหนำหรือใกล้ค่ำ ก็จะเดินเล็มหญ้าบ่ายหน้ามาทางบ้านเสมอ พ่อบ้านส่วนใหญ่ก็จะเล็งหาแหล่งน้ำที่ลึกพอจะอาบน้ำก่อนเข้าบ้านไปในคราวเดียวกัน น้ำฝนใหม่นั้นใสจนอดใจไม่ได้ พลบค่ำก็ถึงบ้าน เสียงกระดึงคอความสลับกับเสียงไล่ควายแว่วให้ได้ยินเป็นระยะ บ้านไหนที่แม่บ้านเพิ่งกลับถึงบ้านพร้อมกับพ่อบ้านก็ต้องรีบหุงข้าวทำกับเสียงครกดัง กกๆๆ ไม่เกินสองทุ่ม ทั้งหมู่บ้านก็เงียบสงบ จะได้ยินบ้างก็แต่เสียงกระดึงคอควายที่ทันสะบัดไล่ยุงไล่แมลง ในคอกควายจะต้องทำพื้นที่เป็นสองส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่แห้ง อีกส่วนเป็นปลักไว้ให้ควายนอนโคลน เพื่อไม่ให้ยุงหรือแมลงกัดถึง
วิถีชีวิตของแม่ลูกอ่อน หลังจากออกไฟแล้วก็ต้องทำงานตามปกติ แม้กระทั่งระหว่างตั้งครรภ์ก็เหมือนกัน ไม่ได้ปวกเปียกเหมือนเช่นคนปัจจุบัน