วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สูญหายไปพร้อมกับวิถีชีวิตชนบท

ในวิถิชีวิตชนบทก่อนนั้น เราไม่ได้มีอะไรมาครอบงำหรือบงการ อยากจะไปหาใคร ถ้าจะเดินสักชั่วโมงก็ยังทำ จะรอใครสักครึ่งวัน คนรักไม่มาเช้า ก็คงมาหาตอนเย็น อยากคุยกับบ้านไหน ถ้าตะโกนแล้วรู้เรื่องกัน ก็ทำ อยากกินผัก..ก็เก็บตามริมรั้ว เนินปลวกหรือป่าละเมาะก็พอกิน ส่วนพริก มะเขือ ข่า ตะไคร้ เอาจากบ้านไหนก็ได้ ไม่อับจน เย็นลงก็พากันนั่งตามลานตากข้าวหรือแคร่ ใครผ่านไปผ่านมาก็แวะพักได้สนทนากัน ใครมีเรื่องจะไหว้วานอะไร ก็มากันเวลานี้แหล่ะ
สมัยก่อนพอหมดฤดูทำนา เดือนยี่ สาม สี่ก็หาปลาตามบึงตามหนองสำรองไว้ เดือนห้าหน้าแล้งก็ตระเตรียมหาทรายเข้าวัด ช่วยบูรณะวัดวาอาราม ซึ่งได้ทั้งบุญและได้ใกล้ชิดสาวที่หมายปอง สงกรานต์บ้านนาจึงคึกคัก ทั้งมอญซ่อนผ้า และลูกช่วง กับก่อพระเจดีย์ทราย บ่ายหลังสงกรานต์ก็เริ่มฝนแรก ก็เตรียมไถนาดะรอฝนใหญ่จึงจะไถแปร วิถีชีวิตตื่นเช้ามืด แว่วเสียงกระดึงคอวัวและควายก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ความทรงจำดีๆ หรือรำลึกถึงความหลัง! แก่ตัวลงมั้ง! ตามแต่จะเรียก ยามจะหวนรำลึก ให้รู้สึกเสียดาย แม้เราเอง มันก็นานพอควร โดยเฉพาะ เมื่อตัวเราเองก็ตกอยู่ในห้วงของสังคมปัจจุบันมาหลายสิบปี หลายหลากสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสักนิดของคนในอดีต แต่ทุกวันนี้กลับเป็นสิ่งสำคัญอย่างขาดไม่ได้ ดูง่ายๆ แค่โทรศัพท์มือถือ ลืมไว้ที่บ้านสักวันเป็นไม่ได้เลย ทั้งๆที่ บางวันก็ไม่ได้โทรหาใครหรือรับสายใครเลย ความจะใช้มันแทรกซึมเข้าไปสู่เบื้องลึกของจิตใจ เปลี่ยนเราไปหมดทั้งพฤติกรรมและหัวใจของเรา แค่โทรไปหาใครสักคน แต่ปล่อยในรอสายสัก 2 ตื้ด (โดยเฉพาะภรรยา) ให้อารมย์เสียขึ้นมาเลย จนบ่อยครั้งต้องถามใจตัวเองเมื่อรู้สึกเช่นนั้นว่า "มันสำคัญนักหรือ" ก็พอบรรเทาลงได้